วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติและความเป็นมาของวันคริสต์มาส

    25th December   "Merry Christmas" 
ประวัติวันคริสต์มาสคริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซู ที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม

  
คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซู ที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม  คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ถือปฏิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christas Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย "คริสต์มาส" ก็มีความหมายเช่นกัน คำว่า มาส แปลว่า เดือน เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสตเจ้าเป็นพิเศษ อีกความหมายหนึ่งของคำว่า มาส คือ ดวงจันทร์ ฉะนั้นจึงตีความหมายเป็นภาษาไทยได้อีกอย่างหนึ่งคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์เป็นแสงสว่างในตอนกลางคืน
คำทักทาย ในเทศกาลนี้คือ Marry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า สันติสุข และความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรให้แก่ผู้ที่เรารัก เคารพ และนับถือ ขอให้เราได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส
ความเป็นมาของเทศกาลคริสต์มาส
ชาวไทยฉลอง "เฉลิมพระชนม์พรรษา" วันที่ 5 ธันวาคม เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกปี ในสมัยโบราณก็มีประเพณีเช่นเดียวกัน ชาวโรมันมีการระลึกถึงการสมภพของพระเจ้าจักรพรรดิคนท้องถิ่นอื่นก็ระลึกถึงและเฉลิมฉลองวันเกิดของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองบ้านเมืองของตนด้วยความยินดี แม้แต่ชาวยิวในสมัยของพระเยซูเอง ก็ฉลองการเกิดของกษัตริย์เฮรอดเช่นเดียวกัน (มธ. 14, 16)
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ชาวคริสต์สมัยโบราณถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลอง เพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลกผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ ได้เริ่มมาจากกรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีปทำไมจึงฉลองคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคม
ตามหลักฐานในพระวรสาร (ลก.2, 1-3) มีว่า พระเยซูบังเกิดในสมัยที่จักพรรดิ ซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัว ทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีริริอัส เป็นเจ้าเมืองซีเรีย ซึ่งในพระวรสารไม่ได้บอกว่าเป็นวันหรือเดือนอะไร สมัยก่อนคริสตชนคิดเอาว่าที่มีการฉลองคริสต์มาส ในวันที่ 25 ธันวาคมนั้น ก็เพราะเป็นวันเกิดของพระเยซูตามทะเบียนเกิด ซึ่งเป็นเอกสารที่คีรินิอัสเก็บไว้ แต่ที่จริงแล้ว เอกสารนี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถค้นพบได้
นักประวัติศาสตร์หาสาเหตุต่างๆ ว่า ทำไมคริสตชนจึงเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาสตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา และก็ให้คำอธิบายหนึ่งที่ สมเหตุสมผล หรือมีน้ำหนักมากที่สุด คือ ปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิ AURELIAN ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิด ของสุริยเทพผู้ทรงพลัง กล่าวตามความรู้ทางวิชาดาราศาสตร์สมัยนั้น เห็นว่า วันนั้นเป็นวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลที่สุดจากเส้นศูนย์สูตรของโลก และเริ่มหมุนไปทางด้านเหนือของท้องฟ้า วันใหม่เริ่มยาวขึ้น ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่าเป็นวันฉลองของพระเจ้าจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระเจ้าจักรพรรดิเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์
ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมันรู้สึกอึดอัดใจ ที่จะฉลองการบังเกิดของดวงอาทิตย์ ตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซู แทน ในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 เริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้นมีการเบียดเบียนคริสตชนอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย อีกนัยหยึ่ง ชาวคริสต์ได้เห็นว่า ในพระคัมภีร์ (มาลาคี 4, 2) เรียกพระเจ้าว่า เป็นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม จึงเห็นว่ามีหลักฐานในพระคัมภีร์สนับสนุนให้ ถือวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันเกิดของพระเยซูวิวัฒนาการแห่งการฉลองวันคริสต์มาส
การฉลองคริสต์มาสแพร่มาจากกรุงโรม ไปยังทุกประเทศพร้อมกับศาสนาคริสต์ที่ค่อยๆ แผ่ขยายไปในที่ต่างๆ จนในปี ค.ศ. 1100 ประชาชนก็เป็นคริสตชนทั้งหมด ทั่วยุโรป เพราะถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในศาสนา เราสามารถแบ่งวิวัฒนาการ ของการฉลองวันคริสต์มาสเป็น 4 ช่วง คือ
  • (1) ค.ศ. 330-1100 ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทีละเล็กทีละน้อย ก็มีการฉลองวันคริสต์มาส และก็มีการเริ่มเทศกาล เตรียมรับเสด็จพระเยซูเป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนคริสต์มาส เป็นเวลาเตรียมตัวโดยการใช้โทษบาป อดอาหารและภาวนาเป็นพิเศษ
  • (2) ค.ศ. 1100-ศตวรรษที่ 16 ช่วงนี้มีการพัฒนาประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการฉลองคริสต์มาส เช่นการแต่งเพลงคริสต์มาส การทำถ้ำพระกุมาร ทำต้นคริสต์มาส
  • (3) ศตวรรษที่ 16-19 ระยะนี้มีการแตกแยกในคริสต์ศาสนา เกิดมีนิกายบางนิกายขึ้นมา ซึ่งบางนิกายไม่สนับสนุนให้มีการฉลองวันคริสต์มาส ด้วยเหตุผลที่ว่า คริสต์มาสเป็นวันที่มนุษย์เลือกเอาเองโดยได้รับอิทธิพลจากชาวโรมัน ที่ฉลองดวงอาทิตย์คล้ายเป็นพระเจ้าของเขา และชาวบ้านก็ให้ความสำคัญแก่วันนี้ มากกว่าวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่พระเจ้ากำหนดให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามชาวคาทอลิกพร้อมกับคริสตศาสนาหลายๆ นิกาย เช่น Lutheran เป็นต้น ยังรักษาการฉลองนี้ไว้ด้วยความอบอุ่น และศรัทธาจนถึงปัจจุบัน
  • (4) ศตวรรษที่ 19 - ปัจจุบัน เริ่มมีประเพณีอื่นทางโลกแทรกเข้ามา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการฉลองนี้มาก เช่นเรื่องซันตาคลอส การให้ของขวัญ การส่งบัตรอวยพรคริสต์มาส ซึ่งร้านต่างๆ ยินดีสนับสนุน เพราะเป็นโอกาสดีที่จะขายสินค้า ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นไปในตัว ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านทั่วไปอาจจะลืมความสำคัญ หรือความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส โดยหันมาเพิ่มความสนใจในสิ่งภายนอกมากกว่า.

      
    การทำ ถ้ำพระกุมาร
    ตามความในพระคัมภีร์พระเยซูเกิดในรางหญ้า (ลก.2,7) ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากในแถบเบธเลเฮมมี ถ้ำอยู่มากมาย ที่พวกดูแลฝูงแกะใช้เป็นที่พักของสัตว์ (รางหญ้า) และตัวเอง เป็นความคิดของชาวคริสต์ธรรมดาว่า รางหญ้าที่พระวรสารอ้างถึงนั้น คงอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในเบธเลเฮม ประเพณีการทำถ้ำนั้น มาจากอิตาลีโดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซีเป็นผู้เริ่ม โดยวันคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1223 นักบุญฟรังซิลชวนชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านที่ Greccio ที่ท่านอยู่ ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้ำพระกุมารและใช้สัตว์จริงๆ เช่น วัวและลา อยู่ในถ้ำด้วย การที่ใช้วัวและลา เพราะเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำ
    จากนั้น ก็จุดเทียนมายืนรอบๆ ถ้ำที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจนถึงสว่างและฟังมิสซาด้วยกันตั้งแต่นั้นมา ประเพณีทำถ้ำพระกุมารทั้งในวัดและในบ้านก็แพร่หลายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

        
    ต้นคริสต์มาส
    ในสมัยโบราณ ต้นคริสต์มาส หมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาปไม่เชื่อฟัง พระเจ้า (ปฐก. 3, 1-6)
    ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี
    จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดงเนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเกล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกสนานกัน หลังจากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล และแขวนแผ่นขนมปัง เพื่อระลึกถึงศิลมหาสนิทซึ่งมีวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
    นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิดไว้ตลอดคืนคริสต์มาสโดยมีดาวิดอยู่ที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญและไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาสและมีดาวของดาวิดไว้สุดยอด ประเพณีนี้เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาสมีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ก็ยังนิยมทำกันอยุ่ เพราะเห็นว่ามีควรามหมายถึงพระเยซูผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2,9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาลซึ่งหมายถึงนิรันดรภาพขอพระเยซู และนอกจากนั้นยังหมายถึงความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึงความชื่นชมยินดีและความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น.

      
    ซานตาคลอส
    ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญญาลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุดในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้จริงแล้วซานตาคลอสแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้เป็นสัวฆราชของ ไมรา (อยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4
    เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือฉลองนักบุญนิโคลาสในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ
    ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยนมาเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือมีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลากและจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น ตามความประพฤติของเขาลักษณะภายนอกของซานตาคลอสที่ถูกสมมุติขึ้นนี้ เหมือนกับจะลอกเลียนแบบมาจาก Thor ซึ่งเป็นเทพเจ้าในนิยายโบราณของเยอรมัน และลอกเลียนแบบนักบุญนิโคลาสที่นำของขวัญมาแจกเด็กๆ อันที่จริงซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารักเหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้แทนการบังเกิดของพระเยซู ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้.การร้องเพลง คริสต์มาส
    เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนี้มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่งร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซู แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุนให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบคือมีท่วงทีทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ. 1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันคือเพลง "ขอเชิญท่านผู้วางใจ" O Come, all ye faithful หรือภาษาลาตินว่า "Adeste Fideles" เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมันและประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ Silent Night, Holy Night เป็นภาษาไทยว่า "ราตรีสวัสดิ์ ราตรีสงัด" ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ joseph Mohr เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก.

      
    เทียน และ พวงมาลัย ในสมัยก่อน มีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัยแล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรก ของเทศกาลเตรียมรับเสด็จทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ และจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวดภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน
    เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่งโดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียน ที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่ม ไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อช่วยให้คนที่ผ่านไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญญาลักษณ์ ที่คนโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึง การที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบสมบูรณ์ตามแผนการณ๖ของพระเป็นเจ้า.การทำมิสซา เที่ยงคืน
    เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้ว ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนาและขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จและก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้งหนึ่ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็นยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสัตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายมิสซาได้ 3 ครั้งในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัตของพระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนัยมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซาในโอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน.

      
    ความสำคัญของ วันคริสต์มาส
    เราจะเห็นได้ว่า วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไป ส่วนหนึ่งของมนุษย์เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ตามคำสัญญาของพระเจ้า ที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดีที่ตามหาเราจนพบและจะไม่มีอะไร ที่จะแยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนจะรวยหรือจน คนศรัทธาหรือคนบาป ล้วนมีความสำคัญต่อหน้าพระเจ้าเสมอ เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูนั้น พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเห็นพระฉายาลักษณ์ของพระบุตรในมนุษย์ทุกคน เราก็เช่นเดียวกัน เราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า นั่นหมายถึงเราต้องเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา
    "เขาจะรักพระเจ้าที่เขามองไม่เห็นได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ นี่แหละเป็นพระดำรัสที่พระเยซูเจ้าประทานแก่เรา คนที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย" (1 ยน. 20-21)
    ประเพณีของการฉลองคริสต์มาสที่มีความเป็นมาดังกล่าวนี้ ควรเป็นสิ่งที่ชักจูงเราให้เปรี่ยมไปด้วยความรักที่พร้อมที่จะรับใช้ ผู้อื่นอย่างเต็มที่.พระนางมารีย์ร่วมมือกับพระเป็นเจ้า เพื่อให้พระอาณาจักรของพระองค์มาถึง
    ในพระคัมภีร์มีกล่าวว่า พระเจ้าทรงสัญญากับมนุษย์คู่แรกว่า พระองค์จะทรงประทานพระผู้ไถ่พระองค์หนึ่งมาลบล้างบาปทุกชนิด รวมทั้งบาปกำเนิดด้วยพระเจ้าตรัสกับงูว่า "ข้าจะให้มีความเป็นอริระหว่างเจ้ากับหญิง ระหว่างเชื้อสายของเจ้ากับเชื้อสายของนางเขาจะเหยียบหัวเจ้า ส่วนเจ้าจะขบส้นเท้าของเขา" (ปฐก. 3:15) หญิงที่พระเจ้ากล่าวถึงนี้ได้แก่ใคร? หญิงผู้นี้ร่วมมือกับพระเจ้าในการนำความรอดมาสู่มนุษย์อย่างไร?
    พระวาจาของพระเจ้า

      
    เทวทูตแจ้งข่าว
    ทูตสวรรค์กาเบรียล ได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าให้ไปยังเมืองหนึ่ง ชื่อ นาซาเร็ธ ในแคว้นกาลิลี เพื่อแจ้งสารแก่นางพรหมจารีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่หมั้นของโยเซฟ ผู้สืบตระกูลจากดาวิด พรหมจารีนั้นชื่อ มารีย์ ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาหาหญิงพรหมจารีนั้นแล้วกล่าวว่า "ขอวันทาท่านผู้เปรี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน" เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ นางพรหมจารีตกใจ ไม่แจ้งว่าคำปราศรัยนี้ดีร้ายอย่างไร เทวดาจึงกล่าวว่า อย่ากลัวเลย ท่านเป็นที่พอพระทัยยิ่งของพระเป็นเจ้า ท่านจะทรงครรภ์และบังเกิดบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งท่านจะตั้งชื่อว่า "เยซู" กุมารนั้นจะได้เป็นใหญ่และจะได้ชื่อว่า พระบุตรแห่งพระเจ้าสูงสุด และพระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบพระราชบัลลังก์ของดาวิด ผู้บรรพบุรุษแก่พระองค์ พระบุตรนั้นจะสืบราชสมบัติของยาโคบตลอดนิรันดร รัชสมัยของพระองค์จะไม่สิ้นสุด" นางมารีย์ตอบเทวดาว่า "ข้อนี้จะเป็นไปได้อย่างไร เหตุว่า ข้าพเจ้าถือศีลพรหมจรรย์"
    เทวดาตอบว่า "พระจิตเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่านและฤทธานุภาพของพระเจ้าสูงสุด จะฉายเงาปรกคลุมท่าน ฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมา จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เดี๋ยวนี้นางเอลีซาเบธ ญาติของท่านก็ได้ตั้งครรภ์กุมารคนหนึ่ง แม้นางจะแก่ชรา และใครๆ ก็ว่าเป็นหมัน นางก็ตั้งครรภ์เข้าเดือนที่หกแล้ว เหตุว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเป็นเจ้า" นางมารีย์จึงตอบว่า "ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้พระเจ้า จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่าน" (ทก. 1:26-38)
    พระเจ้าทรงเตรียมการเสด็จมาของพระมหาไถ่
    หลังจากที่มนุษย์คู่แรกได้ทำเคืองพระทัยพระเจ้าแล้ว บาปก็ได้แผ่กระจายออกไปทั่วโลก มนุษย์ดำเนินชีวิตห่างจากพระเจ้า ตกอยู่ใต้อำนาจของบาปที่ห้อมล้อมไว้ทุกด้าน ความเกลียดชัง ความยุติธรรม การกดขี่กัน มีอยู่ทั่วไป กระนั้นก็ดี พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งมนุษย์ให้ตกเป็นทาสของบาปตลอดไป พระองค์ได้ทรงดำริที่จะส่งพระบุตรเสด็จมากู้มนุษย์ให้พ้นบาป พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัม ให้เป็นต้นตระกูลของประชาชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรร เมื่อชนชาตินี้ทวีจำนวนขึ้นในประเทศอียิปต์ พระองค์ก็ทรงเรียกโมเสส ให้นำพวกเขาออกจากต่างแดน ไปทำพันธสัญญาจะประทานให้ ณ ที่นี้แหละ องค์พระมหาไถ่จะทรงบังเกิดมา พระเจ้าทรงเตรียมผู้ชอบธรรมทัง้หลานโดยทรงประกาศกให้รอคอยพระมหาไถ่ด้วยความหวังที่แน่นอน และคอยชำระจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อจะได้ต้อนรับพระองค์อย่างเหมาะสม ประชากรอิราเอลส่วนใหญ่ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่ได้กระทำกับพระเจ้า มีคนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
    ในบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกสรรพระนางมารีย์
    พระนางมารีย์ เป็นผู้หนึ่งในจำนวนคนหนึ่งที่รอคอยการเสด็จของพระมหาไถ่ด้วยความเชื่อมั่นคง พระนางเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะส่งพระมหาไถ่มาตามที่ทรงสัญญาไว้แต่กาลก่อน พระนางซื่อสัตย์จ่อพระเจ้า โดยการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์เสมอ พระนางรอคอยการเสด็จมาขององค์พระมหาไถ่ด้วยความหวังใหญ่หลวง จนกระทั่ง พระนางยินดีปฏิญาณถวายชีวิตทั้งหมดรับให้พระเจ้า และบำเพ็ญประโยชน์แก้พี่น้องเพื่อมนุษย์ พระนางมารีย์จึงเป็นชาวอิสราเอลที่ดีเด่นกว่าทุกคน คุณงามความดีทุกอย่างที่บรรดาบรรพบุรุษเคยมีมา และคุณธรรมที่น่าสรรเสริญทุกประการ มีพร้อมในพระนางพระนางมารีย์ตอบสนองพระราชโองการของพระเป็นเจ้า
    พระเจ้าทรงพอพระทัย เลือกพระนางผู้บริสุทธิ์ผุดผ่ององค์นี้ เป็นผู้ให้กำเนิดแด่พระเยซูเจ้าพระบุตรของพระองค์ แต่ก่อนที่พระบุตรจะเสด็จมารับเนื้อหนังมนุษย์ในครรภ์ของพระนาง พระเจ้าทรงถามความสมัครใจของของพระนางก่อน พระเจ้าทรงประสงค์ให้พระนางตัดสินใจอย่างอิสระ ที่จะร่วมมือกับพระองค์ในอันที่จะทำให้แผนการอันน่าพิศวงนี้สำเร็จไป พระนางมารีย์ทรงตระหนักดีว่า พระเจ้าทรงประสงค์ให้พระนางร่วมมือกับพระองค์ พระนางจึงยินดีสนองตามพระราชประสงค์ทุกประการทันที โดยกล่าวกับเทวทูตว่า "ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่าน" (ลก. 1:38)พระนางมารีย์เป็นมารดาของพระเยซู และของเราทุกคน
    พระนางมารีย์มิได้เพียงแต่ยินดีสนองพระราชประสงค์ของพระเจ้าเฉพาะในกรณีนี้เท่านั้น แต่พระนางได้สนองพระราชประสงค์ของพระเจ้าตลอดชีวิตของพระนางทีเดียว พระนางได้ร่วมมือกับพระเจ้าในการทำให้อาณาจักรของพระองค์มาถึงมนุษย์ พระนางเสด็จไปเมืองเบธเลเฮม หลบหนีไปประเทศอียิปต์ กลับเมืองนาซาเร็ธ พระนางทรงทำทุกอย่างเหล่านี้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งนั้น พระนางทรงดำเนินชีวิตอย่างเงียบๆ ในบ้านเล็กๆ ทรงยอมให้พระบุตรละบ้านออกไปเทศนา โดยไม่มีข้อแม้แต่ประการใด ในที่สุดเมื่อพระบุตรทรงถูกสานุศิษย์ทอดทิ้ง และกำลังสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างน่าอดสูนั้น พระนางก็ทรงอยู่ที่เชิงกางเขน ร่วมถวายพระองค์เป็นบูชาแด่พระบิดาเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อลบล้างบาปของมนุษย์ทุกคน
    ดังนี้พระมารดามารีย์จึงมีส่วนร่วมในกิจการของพระผู้ไถ่เป็นพิเศษ ด้วยความอ่อนน้อม ความเชื่อ ความหวังและความรักร้อนรน เพื่อรื้อฟื้นชีวิตเหนือธรรมชาติของวิญาณเสียใหม่ ด้วยเหตุน้ำพระนางจึงเป็นมารดาของเราในด้านพระหรรษทาน (ธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักร ข้อ 61)พระนางผู้ปฏิสนธินิรมล
    พระเจ้าทรงเตรียมพระนางมารีย์เพื่อรับภาระกิจอันใหญ่ยิ่งขึ้น โดยบันดาลพระคุณพิเศษหลายอย่างให้แก่พระนาง เนื่องด้วยพระนางต้องเป็นมารดาของพระเยซูเจ้า พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้พระนางไร้มลทินบาปทั้งปวง ให้พ้นบาปกำเนิด ให้เป็นผู้เปี่ยมด้วยพระพรนานับประการพระนางมารีย์จึงเป็นมนุษย์คนเดียวที่ไม่มีบาปกำเนิด เราจึงเรียกพระนางว่า "ผู้ปฏิสนธินิรมล"

      
    มารดาพรหมจารีเสมอ
    คริสตชนยังเรียกพระนางมารีย์ว่า "มารดาพรหมจารีเสมอ" เพราะพระบุตรที่พระนางได้กำเนิดนั้น ได้ปฏิสนธิด้วยฤทธิเดชของพระจิตเจ้า นักบุญโยเซฟสามีตามกฏหมายของพระนางมารีย์ไม่ได้เป็นบิดาแท้ของพระเยซู ท่านเป็นเพียงบิดาเลี้ยง เป็นผู้คุ้มครองและหัวหน้าครอบครัวศักดิ์สิทธิ์นี้
    มารดาผู้รับเกียรติขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
    หลังจากี่พระมารดามารีย์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าทรงยกย่องพระนางเหนือมนุษย์ทั้งปวง เนื่งอจากบาปมิได้เคยครองพระมารดาเลย พระเจ้าจึงทรงพอพระทัยให้พระนางลาโลกนี้ และเจริญชีวิตนิรันดรในพระสิริมงคลของพระองค์ทั้งกายและวิญญาณทันทีทุกวันนี้พระวาจาของพระเจ้าปรากฏในพระศาสนจักร
    อาณาจักรของพระเจ้าปรากฏท่ามกลางเราทางพระนางมารีย์ พระเจ้าทรงอาศัยความร่วมมือของพระนาง ในการส่งพระผู้ไถ่มากู้โลกยิ่งไปกว่านั้นอาณาจักรของพระเจ้าสำเร็จอย่งาบริบูรณ์ในพระนางมารีย์ เพราะพระนางเป็นเพียงมนุษย์คนเดียวที่สามารถชนะบาปแลละความตายชัยชนะของพระนางเป็นการเริ่มต้นแห่งชัยชนะที่ประชากรของพระเจ้า จะต้องมีเหนือปีศาจและความชั่วช้าทุกอย่างในที่สุดพระมารดาองค์อุปถัมภ์
    ปัจจุบันพระมารดามารีย์สถิตอยู่ในสวรรค์ กระนั้นก็ดี พระนางยังทรงร่วมมือกับพระเจ้าในการแพร่อาณาจักรของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์พระมารดาทรงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคอยให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ เพื่อเราทุกคนจะได้ชนะบาปเหมือนพระนางเราจึงเรียกพระนางว่า "องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน"

      
    พระบุตรของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด
    ในโอกาสคริสต์มาสทุกคนพากันยินดี เด็กๆ ต่างตื่นเต้นเป็นพิเศษ ถนนหนทางแพรพราวไปด้วยไฟหลายสี ตู้โชว์ตามร้านเต็มไปด้วยของขวัญนานาชนิด ตามวัดวาอาราม และตามบ้านคริสตชนก็มีต้นคริสต์มาส หรือถ้ำกุมาร สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงถึงความยินดี เป็นการระลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา

    พระวาจาของพระเจ้า
    ขณะนั้น มีพระราชกฤษฎีกาของพระจักรพรรดิ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิ การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกนี้ กระทำในขณะที่คีรีนีอัสเป็นผู้ว่าราชการเมืองซีเรีย พลเมืองทั้งหลาย ต่างคนต่างไปแจ้งความสำรวจในเมืองของตน (ตามภูมิลำเนาเดิม) นักบุญโยเซฟ จึง ต้องเดินทางจากตำบลนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี ไปจดทะเบียนสำมะโนครัวพร้อมกับพระนางมารีย์ ภรรยาผู้ทรงครรภ์ ยังแคว้นยูเดียในนครของดาวิดชื่อว่า เบธเลเฮม เพราะท่านสืบเชื้อสายเป็นลูกหลานของดาวิด
  • ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น